#รู้ที่ไม่ต้องคอยกำหนดรู้
เมื่อใดที่เราเพิกสิ่งหยาบๆ ออกไป
ธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
เราจะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า
“รู้ที่เป็นปกติ รู้ที่เป็นอัตโนมัติ"
" รู้ " ที่ไม่ต้องคอยกำหนดรู้
ไม่ต้องกำหนดรู้ #มันก็รู้อยู่ดี
มีการรับรู้.. ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
มีการรับรู้.. ที่เป็นปกติเป็นธรรมดา
ตั้งแต่ระดับที่เรียกว่า
#ธรรมอันเอกปรากฏขึ้น เป็นต้นไปนั่นเอง
เพราะฉะนั้น...
การปฏิบัติที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า
ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า
อยู่กับปัจจุบันธรรมให้ต่อเนื่องกันไป
คือ เข้าถึงระดับทุติยฌานตรงนี้
มีความผ่องใสปรากฏขึ้น
ธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
#ผู้ปฏิบัติก็จะเริ่มรู้แล้วว่า
รู้.. ที่ไม่ต้องคอยกำหนดรู้เป็นอย่างไร?
เป็นรู้ แบบมันก็รู้อยู่ดีนะ
เพราะว่ารู้ มันเป็นอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
เหมือนพระจันทร์...
ที่งามกระจ่างกลางท้องฟ้า
ถูกเมฆหมอกเข้าบดบัง พระจันทร์ก็อับแสง
จริง ๆ แล้ว #พระจันทร์ก็มีความสว่างอยู่
แต่ว่าเมฆหมอกบังเฉยๆ
กิเลสหยาบๆ บังสภาวะรู้ตรงนี้อยู่
... มันปกปิดอยู่
เมื่อเข้าถึงสภาวะ มีความผ่องใส
ธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
ผู้ปฏิบัติจะเข้าใจที่เรียกว่า
มันไม่ต้องกำหนดรู้
มันรู้เป็นธรรมชาติมากขึ้นนั่นเอง
และเมื่อภาวะนี้เริ่มปรากฏ
ประคองสิ่งนี้ไปเรื่อย ๆ
แม้สติยังไม่ถึงระดับทุติยฌาน
#ภาวะนี้ก็ยังมีอยู่ในใจ
ที่เรียกว่า " รู้ สักแต่ว่า รู้ " นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ฐานเวทนา
จะส่งให้เรามาถึงธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
ซึ่งจะใช้เป็น #แกนหลักในการปฏิบัติ
ได้ตลอดรอดสายทีเดียว
ที่เรียกว่าเป็นทางสายกลาง
ในระดับสภาวธรรม ก็คือ..
รู้ธรรมเฉพาะหน้า อยู่กับปัจจุบันธรรม
... ให้ต่อเนื่องกันไป นั่นเอง
#สิ่งนี้ยังไม่เน้นในช่วงแรก
เพราะว่าถ้าผู้ปฏิบัติยังไม่เกิดภาวะ
ที่เรียกว่า ธรรมอันเอกปรากฏขึ้น
พูดไปก็จะไม่เข้าใจหรอก
เพราะว่าเราต้องคอยกำหนดรู้อยู่
คอยปลุกภาวะรู้ให้มันตื่นขึ้นก่อน
จากการฝึกสติอยู่ในกายในใจเนือง ๆ
ผู้ปฏิบัติจะเริ่มมีแกนของตัวเอง
ก็คือ สภาวะที่เรียกว่า...
รู้ธรรมเฉพาะหน้า
#อยู่กับปัจจุบันธรรม
ให้ต่อเนื่องกันไป นั่นเอง
.
ธรรมบรรยาย โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
ค่ำวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565