The Best Kind of Seeing

The Best Kind of Seeing
 
After we practice mindfulness and are aware of the body and the mind,
then we will be able to perceive the sensations of the whole body.
We will know the whole body and be aware all the time.
This is the entry to the stable mind, which is having the right concentration, or samma samadhi.
When you are able to sustain total awareness,
the mindfulness( sati) and clear comprehension( sampajanna) will gradually become more refined.
It will be followed by the feeling of light body and mind, then a  pleasant, light and airy feeling.
You will start to experience a delicate kind of happiness which will get deeper and more refined.
When developing the mindfulness up to the level of having this kind of pleasant,
light and airy feeling , you will find that happiness that you have been seeking for all of your life.
It is not available anywhere outside, but is in fact right here in our mind.
All of us, after our birth, want to have good and  happy lives.
We all struggle for the same things. 
But as long as we continue to seek happiness from the outside, we will not be able to find it. 
It is because happiness is not available from anywhere outside.
It is right here inside our mind.
When you keep on practicing the “ Four Foundations of Mindfulness”
until you feel the light body and mind; having the light,
pleasant and airy feeling, you will find the happiness that is more and more refined. 
All of the sufferings will be gone.
What remains is that happiness that can continue to be more refined.
This is the type of happiness that money cannot buy.
This happiness also does not depend on any outside materials.
It doesn't matter where you are! 
The happiness will be refined, and the mind will be luminous.
At this point the state of awakening and knowing will appear - it is the unique nature of mind.
When this occurs frequently, you will see how the body and mind work according to reality. 
This is switching into insight, or vipassana yana. 
After maintaining the insight,  you will be able to see things as they are:
That everything arises from being conditioned by multiple factors. 
Form will break down and disappear. 
The mind also will break down and disappear.
All things will be seen, as only arising and disappearing.
In the vipassana state ( insight), there are only the arising and disappearing of all things.
All elements, all aggregates will separate, break down, and disappear on their own. 
This is the type of seeing that the Buddha had praised.
The Buddha himself once said that : 
“ This type of seeing is the best of seeing, it has never occurred before. That is: 
Form( rupa) appeared, stayed on and then disappeared. It is clear to the Buddha himself.
Feeling(vedana) appeared, stayed on and then disappeared. It is clear to the Buddha himself.
Perception( sanna) appeared, stayed on and then disappeared. It is clear to the Buddha himself.
Volitional formation ( sankhara) appeared, stayed on and then disappeared. It is clear to the Buddha himself.
Consciousness ( vinnana) appeared, stayed on and then disappeared. It is clear to the Buddha himself.” 
The Buddha guaranteed that this is the best of seeing.
After sustaining the insight ( vipassana),
seeing the breaking down of all conditioned things as they are,
one will be released from the attachments,
and one can let go those attachments. 
.
Dhamma as taught by Ajahn Maha Worapot Kittivaro.
.....................................................

อนุโมทนาบุญ พ.ญ. อาวรณี พินิจ จิตอาสาแปลภาษาธรรมบรรยาย
 
 
การเห็นชั้นเลิศ
เมื่อเจริญสติ ระลึกรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกกาย รู้สึกใจ จนสามารถรับรู้ได้ทั่วทั้งตัว
รู้กายทั้งกาย รู้สึกทั้งตัวอยู่เสมอ ก็จะเข้าสู่ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง
.
เกิดสัมมาสมาธิขึ้นมา เกิดความตั้งมั่นที่ถูกต้องขึ้นมา
เมื่อดำรงอยู่กับความรู้สึก ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ สติสัมปชัญญะก็จะละเอียดขึ้นโดยลำดับ
จนเกิดความเบากาย เบาใจ เกิดความโปร่งโล่งเบาสบาย
ก็จะพบกับความสุขที่ประณีตลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ
.
พอพัฒนาสติมาถึงความโปร่งโล่งเบาสบายเนี่ย
ก็จะทำให้พบว่า ที่จริงแล้วนี่ ความสุขที่แสวงหามาทั้งชีวิตนี้
มันไม่ได้อยู่ภายนอกที่ไหนเลย อยู่ภายในใจของเรานี่เอง
ทุกคนเกิดมา ก็อยากจะมีชีวิตที่ดีมีความสุขด้วยกันทั้งนั้น
.
ที่เราต้องดิ้นรนทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่อให้เรามีชีวิตที่มีความสุข
แต่ตราบใดที่เรายังแสวงหาความสุขจากภายนอกอยู่
ก็ไม่สามารถพบความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้เลย
เพราะว่าที่จริงแล้วความสุข มันไม่ได้อยู่ภายนอกที่ไหน มันอยู่ภายในใจของเรานี่เอง
.
เมื่อเจริญสติปัฏฐานอยู่เสมอ จนเกิดความเบากาย เบาใจ โปร่งโล่ง เบาสบาย
พบกับความสุขที่ประณีตขึ้นไปเรื่อย ๆ ความทุกข์ต่าง ๆ หายไป
เหลือแต่ความสุข ประณีตขึ้นเรื่อย ๆ มีเงินทองก็ซื้อไม่ได้
.
เป็นความสุขที่มันไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งต่าง ๆ จากภายนอก
อยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีความสุขประณีตขึ้น มีความผ่องใสในภายใน
ธรรมอันเอกก็จะปรากฏขึ้นมา เกิดสภาวะตื่นรู้ขึ้นมา
.
เมื่อธรรมอันเอกปรากฏขึ้น มีใจที่ตื่นรู้อยู่เสมอ
ก็จะเริ่มเห็นการทำงานของกาย ของใจ ตามความเป็นจริง 
สามารถพลิกเข้าสู่วิปัสสนาญาณได้
.
เมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ  เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง
สิ่งต่าง ๆ ก็เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
รูปกายก็แตกดับ จิตก็แตกดับ สรรพสิ่งต่าง ๆ มันมีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็สลายตัวไป
.
ในภาวะของวิปัสสนาญาณ มีแต่สิ่งที่แตกดับ ๆ 
เกิดการแยกธาตุ แยกขันธ์ แตกดับของใครของมัน
การเห็นแบบนี้ พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า เป็นการเห็นชั้นเลิศ
.
แม้แต่ตัวพระองค์เอง ก็ทรงตรัสว่า การเห็นนี้เป็นการเห็นที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ไม่เคยปรากฏมาก่อน ก็คือ
รูป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
เวทนา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
สัญญา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
สังขาร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
วิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แจ่มแจ้งแก่ตถาคต
พระองค์ทรงรับรองว่า สภาวะนี้คือ การเห็นที่ยอดเยี่ยม
.
เมื่อดำรงอยู่ในวิปัสสนาญาณ  สภาวะแตกดับของใครของมัน
ก็จะหลุดออกจากความยึดมั่นถือมั่น สามารถวางจากการยึดมั่นถือมั่น
หลุดออกจากขันธ์ทั้ง 5 เข้าสู่วิสังขารธรรม สภาวธรรมที่บริสุทธิ์ ที่พ้นจากการปรุงแต่ง
.
เนื้อของอมตธรรมล้วน ๆ ที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ในภาวะตรงนี้ จะปราศจากการปรุงแต่ง เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ ที่พ้นจากการปรุงแต่ง
ว่างจากตัวตน จากการยึดมั่นถือมั่น
.
สภาวะนี้มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่ถูกอวิชชาบดบังอยู่
เมื่ออบรมสติปัฏฐาน จนสามารถปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น
อวิชชาสลายตัวไป ก็จะเข้าถึงสภาวะที่บริสุทธ ิ์ตรงนี้ได้
.
จิตคือพุทธะ คือ สภาวะตรงนี้ รู้ที่ไร้การยึดติดเลย ปราศจากการปรุงแต่ง
ภาษาพระท่านเรียกว่า ญาณทัสสนวิสุทธิ การรู้เห็นที่หมดจด
ปราศจากอัตตาตัวตน ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น
.
มันคืออาการรู้ของจริง มันคือภาวะของธรรมชาติ
ของมหายานเรียกว่า จิตเดิมแท้ เป็นภาวะโดยธรรมชาติ
สภาวะตรงนี้ ไม่มีเกิด ไม่มีดับ คงสภาวะเช่นนั้นเอง เป็นอสังขตธรรม
แต่ถูกความหลงบดบังได้
---------------------

พระมหาวรพรต กิตฺติวโร



 

Powered by MakeWebEasy.com