Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:01 #3



ท่านทั้งหลายก็มีกำลังใจที่จะวางสิ่งต่าง ๆ ภายนอก
มาสู่การปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐานสี่ได้
เราก็ตั้งใจของเราให้ดี วางแล้วก็วางให้จริง
ปิดโทรศัพท์ ลองตัดภาระต่าง ๆ
เครื่องกังวลเครื่องร้อยรัดต่าง ๆ สักสามวันก็ยังดี
ลองมีสติอยู่กับตัวเองดู ฝึกที่จะอยู่กับตัวเอง
ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ๆ ดู
เรียกว่าฝึกที่จะหยุดใจไว้นิ่ง ๆ
.
ปกติใจมันนิ่งหรือเปล่า
ส่วนใหญ่แล้วมันก็ไหลไปเรื่อย
เรียกว่าเราอยู่กับโลกของความคิดปรุงแต่ง
คนเราทุกวันนี้มันก็ทุกข์เพราะความคิดนี่แหละ
เกิดความเร่าร้อนต่าง ๆ ตามมามาก
เกิดความเครียดความวิตกกังว
สุขภาพจิตแย่ สุขภาพกายก็พลอยแย่ไปด้วย
โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมามาก
ทำงานเท่าไรก็หมดค่ารักษาพยาบาล
โรคต่าง ๆ ก็มาจากสุขภาพจิตเป็นส่วนใหญ่
ความเครียดความวิตกกังวล
.
แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่างมีสติ
ปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ เป็น
ความเครียดไม่เกิด ความวิตกกังวลไม่เกิด
แล้วเราจะพบเลยว่าชีวิตเราดีขึ้น
เราสามารถที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
โดยไม่ทุกข์ไปกับมันได้
.
คนที่ฝึกจิตได้ดีแล้วจนนิ่งสงบอยู่
เขาจะมีความสุขกับการอยู่กับตัวเอง
แสวงหาสิ่งต่าง ๆ ภายนอกลดลง
แต่ถ้าใจเรามันไม่นิ่ง
มันต้องคอยแสวงหาไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด
.
แล้วคนที่เขาฝึกสติให้ตั้งมั่นเป็น
เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำงานสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ
ก็จะมีความสร้างสรรค์ต่าง ๆ
ที่น่าทึ่งน่าอัศจรรย์เนี่ยมันเกื้อกูลทุกอย่าง
หน้าที่การงานเรา ชีวิตเรา ครอบครัวเรา
การใช้ชีวิตของเรามันจะดีขึ้นโดยลำดับ
ถ้าเราปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อ
ความเร่าร้อนลดลง ใจเย็นขึ้น สงบขึ้น
มีความสุขขึ้น เบิกบานขึ้น
เราจะสัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ
เหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ถ้าเราปฏิบัติธรรม
.
.................................

ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:03 #4



ในการเจริญสติปัฏฐานสี่
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานสี่
จะปรารถนาความพ้นจากทุกข์หรือไม่ก็ตาม
ก็สามารถพ้นได้ถ้าปฏิบัติถูกต้อง
.
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
#ตั้งกายตรงดำรงสติมั่น
ตรงนี้คือหัวใจ ของการเจริญสติปัฏฐานสี่ทั้งหมด
#ดำรงสติมั่น คือ #รู้ธรรมเฉพาะหน้า
ถ้าเราเริ่มต้นที่ดำรงสติมั่นเป็น
เรียกว่าการเจริญสัมมาสติ
คือการเจริญสติที่ถูกต้อง
ผลที่ตามมาก็จะถูกต้องไปเอง
.
สัมมาสติ ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้าเป็นอย่างไ
ใครรู้บ้าง ดำรงสติมั่นแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกใช่ไหม
เป็นสิ่งที่ยากอยู่ถ้าเราจะเริ่มต้นให้ถูกต้อง
แต่ลักษณะของมันสำหรับคนที่ทำถูกต้อง
สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร
มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
.
ในสติปัฏฐานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
มีความเพียร มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ
ละความพอใจ ไม่พอใจในโลก
ตรงนี้แหละคือวิธีการปฏิบัต
ตรงนี้ถ้าที่หลวงพ่อ(ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ วิ.)สอน
หลายท่านเป็นศิษย์วัดมเหยงคณ์
หลวงพ่อก็จะสอนว่า หยุดใจไว้นิ่ง ๆ ไม่วิ่งไปจับอารมณ์
หยุดใจไว้นิ่ง ๆ รู้ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง
นั่นคือสภาวะของการดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้า
.
จิตมันจะหยุดนิ่งตั้งมั่นอยู่
ไม่เกิดกระแสที่เรียกว่าวิ่งไปจับอารมณ์
ไม่เกิดอาการที่เรียกว่า ตามดู ตามรู้ จิตนิ่งตั้งมั่นอยู่
แต่รู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง
มันจะต่างจากการที่เราไปเพ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง
ถ้าเราไปเพ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง
มันนิ่งแต่มันไม่รู้ตามความเป็นจริง มันไม่รู้ตัวทั่วพร้อม
แต่ถ้าเราหยุดใจโดยไม่ต้องไปเพ่งได้ เรียกว่าวางเป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันจะเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
ถ้าเราวางเป็น ดำรงสติมั่นเป็น
.................................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:05 #5



วิธีปฏิบัติเบื้องต้น ท่านทั้งหลายมีความคล่องตัวแบบใด
ทำแล้วมันรู้สึกนิ่งดี สงบดีแล้ว
ก็สำรวจสภาวะของตัวเองดูว่ารู้ตัวทั่วพร้อมหรือเปล่า
ถ้ามันเป็นสมาธิที่นิ่งจดจ่อ อยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง
เมื่อมันนิ่งดีแล้ว ก็ขยายการรับรู้ออกมาทั่วทั้งตัว
มันจะเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
จิตมันจะเป็นกลางตั้งมั่นขึ้น
เกิดความรู้พร้อมทั้งกายทั้งใจ
.
สำหรับคนใหม่หรือว่าคนที่ฝึกใจยังไม่นิ่งดี
อาจจะอาศัยอุปกรณ์การหายใจเป็นเบื้องต้นเข้าช่วยก็ได้
สูดลมเข้าจนเต็มปอด กลั้นลมหายใจสักเล็กน้อย
มันจะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา
ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกสบาย ๆ
ถ้าใครใช้วิธีนี้ได้แล้วรู้สึกว่ามันนิ่งดีก็ทำ
ตรงนี้จะส่งเข้าสู่สภาวะความรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้เร็วมาก
.
พอรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็น
ก็แช่อยู่กับความรู้สึกทั่วทั้งตัวไปเลย
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในชั้นสัมมาสมาธิเป็นอย่างไร
ความรู้สึกตัวของร่างกายในสัมมาสมาธิ
มันก็จะเกิดความรู้สึกชา ๆ ซ่าน ๆ ตามตัว หัวตัวแขนขา
อาการหนึบ ๆ หยุ่น ๆ คล้ายสนามพลัง
บางทีก็เหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งทั้งตัว
เกิดอาการ ปิติ ตัวโยกโคลงทั้งตัวบ้าง ขนลุกทั้งตัวบ้าง
เกิดกระแสความร้อนทั้งตัวบ้าง เกิดกระแสความเย็น
บางทีก็เกิดอาการแข็งเป็นหินทั้งตัวบ้าง
บางทีก็เกิดอาการตัวลอยตัวเบาตัวหนัก
เกิดอาการขยายตัวหดตัวบ้าง
อันนี้คือสภาวะของชั้นสัมมาสมาธิ ที่เรียกว่าระดับของปิติ
.
ในอานาปานสติจากฐานกายเข้าสู่ฐานของเวทนา
รู้ปิติก็คือสภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
อันนี้เป็นสภาวะชั้นต้นของสัมมาสมาธิ
คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มันจะเป็นความรู้สึกของร่างกายทั่วทั้งตัวเลย
ใครปฏิบัติไปเคยเจอบ้าง
ซาบซ่านทั่วทั้งตัว ขนลุกขนพองทั้งตัว
อาการความรู้สึกตัว ถ้าเรานิ่งเป็นแล้วจะเกิดสภาวะพวกนี้
แล้วเราแช่อยู่กับความรู้สึกตัวเป็น
สติสัมปชัญญะของเราจะพัฒนาได้ดีมาก
เรียกว่ามันเต็มฐานความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
จากนั้นก็ฝึกรู้สึกทั้งตัวไปเลย
ยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรก็รู้สึกทั้งตัวไปเลย
สติสัมปชัญญะก็จะละเอียดขึ้นโดยลำดับ
.
ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ สติสัมปชัญญะละเอียดขึ้น
จากความซาบซ่านทั่วทั้งตัว ก็จะเกิดความสุข เบาสบาย
เบากาย เบาใจ เกิดความโปร่งโล่งเบาสบาย
ถ้าเราพัฒนาสติมาถึงโปร่งโล่งเบาสบายแล้วละก็
เราจะพบเลยว่าที่จริงแล้วนี่ ความสุขไม่ต้องไปแสวงหา
จากภายนอกที่ไหนเลย อยู่ภายในใจของเรานี่เอง
จะพบกับความสุขเบาสบาย ที่มันประณีตขึ้นโดยลำดับ
จากที่เคยเป็นคนเครียดคิดว่าวิตกกังวลทุกข์กายทุกข์ใจ
ความเร่าร้อนเหล่านี้จะหายไปเหลือแต่ความสุขเบาสบาย
ต่อให้เรามีเงินทองมากมายสักเพียงใด
มีอำนาจมากมายสักเพียงใด
ก็ไม่สามารถที่จะพบกับความสุขระดับนี้ได้เลย
แต่สามารถพบได้จากการปฏิบัติธรรม จากการเจริญสติปัฏฐาน
ทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิตได้
.
ความสุขจากชั้นโปร่งโล่งเบาสบายนี่ก็สุขมากแล้วโยม
กายเบาจิตเบาโปร่งโล่งเบาสบาย
ปฏิบัติไปก็เหลือแต่ความเบาสบายความเร่าร้อนหายไป
แต่จากนั้นมันก็จะละเอียดขึ้นโดยลำดับ
นี่คือสภาวะของสัมมาสมาธิ ใจเราก็จะนิ่งขึ้นสงบขึ้นตั้งมั่นขึ้น
จากนั้นก็จะพาเดินจิตพลิกเป็นวิปัสสนาญาณทัศนะ
เกิดการแยกธาตุแยกขันธ์ เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจริง
สภาวะของสัมมาญาณทุกสิ่งทุกอย่าง
ก็จะเกิดการแยกธาตุแยกขันธ์เป็นของใครของมัน
มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน
เห็นขันธ์ทั้งห้า เกิดดับตามความเป็นจริง
เกิดญาณเห็นจิตสภาวะของสัมมาญาณ
.
เกริ่นให้ท่านทั้งหลายเข้าใจไว้ในเบื้องต้น
จากสัมมาสติตั้งกายตรงดำรงสติมั่น
เข้าสู่สัมมาสมาธิเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เกิดการรู้จิต พลิกเป็นสัมมาญาณ
เกิดการเห็นธรรมตามความเป็นจริง
เข้าสู่สัมมาวิมุต จิตหลุดพ้น นิโรธอวิชชาดับ
สเต็ปการปฏิบัติก็จะเป็นแบบนี้
ถ้าเราดำเนินได้ถูกต้อง
สติสัมปชัญญะก็จะพัฒนาไปแนวทางนี้

.................................

ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:08 #6



พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
หากว่าโลกนี้ไม่มีธรรมชาติที่ชื่อว่า
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
พระสัจธรรมก็ไม่ต้องแพร่หลายไปทั่วโลก
แต่เพราะว่าโลกนี้มีธรรมชาติที่ชื่อว่า
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
จึงต้องมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
พระสัจธรรมจึงต้องแพร่หลายไปทั่วโลก
.
ทรงตรัสว่าเมื่อมีธรรมชาติที่ชื่อว่า
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
ก็ต้องมีธรรมชาติที่พ้นจาก
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
เมื่อมีกองทุกข์ก็ต้องมีธรรมชาติ
ที่พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
นั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
และทรงประกาศพระสัจธรรม
.
หนทางที่จะเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริง
ที่พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได
ธรรมชาติ พระองค์ทรงแบ่งไว้สองประเภท
.
ที่เรียกว่า #สังขตธรรม ธรรมชาติของมันก็คือ
#มีการเกิดปรากฏมีการเสื่อมปรากฏ
#เมื่อตั้งอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างอื่น
.
ส่วนธรรมชาติอีกประเภทหนึ่ง
ที่เรียกว่า #อสังขตธรรม
ลักษณะของอสังขตธรรมก็คือ
#ไม่มีการเกิดปรากฏ #ไม่มีการเสื่อมปรากฏ
#คงสภาวะเช่นนั้นเอง
.
สภาวะของอสังขตธรรมนี่
#จะเป็นสภาวะรู้ที่บริสุทธิ์อยู่
เป็นความว่างที่บริสุทธิ์อยู่ เรียกว่านิพพานธาตุ
ธาตุรู้กับวิญญาณขันธ์เป็นคนละสิ่งกัน
สภาวะของอสังขตธรรมหรืออมตะธรรมหรือธรรมธาตุ
#จะเป็นแค่สภาวะรู้ที่ไร้ตัวตนไร้ขอบเขต
ที่เรียกว่าสุญญตาและเป็นความว่างที่บริสุทธิ์อยู่
.
ทุกคนมีส่วนหนึ่งของธาตุรู้อันนี้อยู่ มีอยู่แล้วทุกคน
ถ้าไม่มีส่วนนี้ จะพ้นจากกองทุกข์ไม่ได้เลย
แต่เพราะความไม่รู้จึงถูกอวิชชาเข้าครอบงำ
ถูกความหลงเข้าครอบงำ
จากนั้นก็หลงวกวนอยู่ในวัฏสงสาร โลกแห่งสมมุติมายา
เกิดแก่เจ็บตายวนเวียนอยู่ร่ำไป ไม่รู้จักจบจักสิ้น

♥ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
#เพราะสัตว์โลกไม่รู้พระสัจธรรม
#จึงถูกอวิชชาเป็นเครื่องกั้นถูกตัณหาเป็นเครื่องผูก
#จึงต้องท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารอย่างยาวนาน
#ไม่สามารถที่จะกำหนดถึงเบื้องต้นและเบื้องปลายได้เลย
.
สมมุติว่านำดินมาทั้งโลกนี
มาปั้นเป็นลูกเล็ก ๆ เท่าลูกกระเบ้า
สมมุติว่าก้อนนี้แทนผู้ที่เคยเกิดเป็นพ่อเรา
ก้อนนี้แทนผู้ที่เคยเกิดเป็นพ่อของพ่อเรา
นำมานับอย่างนี้อยู่ร่ำไป ปรากฏว่าดินทั้งโลกหมดก่อน
แต่ผู้ที่เคยเกิดเป็นพ่อเราเนี่ยยังไม่หมดเลย
วัฏฏะสงสารมันยาวนานเช่นนั้
การเกิดทุกคราวก็ต้องพบกับความทุกข์อยู่ร่ำไป
ต้องพบกับสภาพของการเกิด
สภาพของการเจ็บไข้ได้ป่วย
สภาพของการแก่ สภาพของการตาย
เกิดแก่เจ็บตายวนเวียนอยู่ร่ำไปไม่รู้จักจบจักสิ้น
ตราบใดที่เรายังไม่พบพระสัจธรรม
ไม่แทงตลอดความจริงของธรรมชาติ
ชีวิตของเราท่านทั้งหลายก็จะหลงวนเวียนอยู่
ในวัฏสงสารเช่นนี้อยู่ร่ำไป
.
ปัจจุบันจึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีของชีวิต
ที่เราท่านทั้งหลายได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนา
ได้มีโอกาสที่จะทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำที่พึ่งให้กับตนเอง ก็จะเป็นโอกาสอันดีของชีวิต
ที่จะสามารถหลุดพ้นจากวังวนของกองทุกข์ได้
.
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
#สติปัฏฐานสี่เป็นทางสายเดียว
#ที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ได
คำว่าสติที่เป็นทางสายเดียว
ที่จะพ้นจากกองทุกข์ได้ก็คือสภาวะรู้
ที่เป็นอมตะธรรมนั่นแหละ
เมื่อใดที่สามารถเข้าถึงสภาวะรู้ของจริง
ก็จะหลุดจากกองทุกข์หลุดจากขันธ์ทั้งห้าได้
.
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมทั้งหมด
เราจะใช้วิธีเบื้องต้นอย่างใดก็ตาม
จะพ้นจากกองทุกข์ได้
#ต้องเข้าถึงสภาวะรู้ที่เรียกว่าสติตัวจริง
#สภาวะของมันจะเป็นแค่สภาวะรู้ล้วน
#ไม่อะไรกับอะไรเลย #ไร้ตัวตนไร้ความยึดติด
#ซึ่งทุกคนมีส่วนหนึ่งของสภาวะรู้นี้อยู่แล้ว
แต่ถูกอวิชชาเข้าบดบัง ถูกความหลงเข้าบดบัง
.
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
จิตนี้ประภัสสรผ่องใสมาแต่เดิม
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา
#ประดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญงามกระจ่างกลางท้องฟ้า
#ถูกเมฆหมอกเข้าบดบังพระจันทร์ก็อับแสง
#ถูกความคิดปรุงแต่งถูกความหลงเข้าบดบัง
เกิดตัวตนเกิดภพเกิดชาติหลงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร
การที่เราจะออกจากวังวนเหล่านี้ได้
ก็ด้วยการปฏิบัติธรรม คือ การเจริญสติปัฏฐานสี่

.................................

ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:10 #7



ใครเคยรู้สึกได้ #กระแสของธรรมารมณ์
#ที่มันผุดจากใต้ลิ้นปี่ขึ้นมา จะเรียกว่าจิตสังขารก็ได้
ตรงนี้ถ้าในอภิธรรมจะเรียกว่าหทัยวัตถุ
ที่ว่าจิตเกิดจากหทัยวัตถุ
จริง ๆ มันเป็นแค่กระแสของธรรมารมณ์เท่านั้นเอง
เราจะทันกระบวนการนี้หรือเห็นกระบวนการนี้
สติเราต้องมีความละเอียดพอ
มันมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เห็นสิ่งนี้ได้ทั้งหมด
.
กิเลสทั้งหมดเวลามันเกิดขึ้น
มันเกิดขึ้นจากใต้ลิ้นปี่นี่แหละ
มันผุดขึ้นมา ๆ แล้วมันออกที่ประตูญาณ
อันนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ธรรมารมณ์
เป็นตัวจิตสังขารก็ได้แล้วแต่จะเรียกว่าอะไร
กิเลสรักโลภโกรธหลงทั้งหมดเกิดจากตรงนี้
ทั้งภายในและภายนอกไม่ใช่เฉพาะภายในเท่านั้น
บางทีกระแสจิตไปรับอารมณ์ของคนอื่น
มันก็จะมาผุดตรงนี้ ถ้าสติเราละเอียดระดับหนึ่งเราจะเห็น
เราจะรู้เลยกิเลสมันเกิดจากตรงไหน
มันก็เกิดจากตรงนี้แหละ รักโลภโกรธหลงเกิดดับๆๆไป
.
แต่ตรงนั้นมันยังไม่ใช่ตัวอวิชชา มันเป็นคนละส่วนกัน
มันเป็นแค่กระแสที่เกิดดับออกประตูญาณไป
ตัวอวิชชามันจะเป็นจิต ที่มันคู่กับสติตัวจริงหรือสภาวะรู้
โดยปกติธรรมชาติมันจะอยู่ที่กลางหัว
แต่บางคนอาจจะเลื่อนลงมาได้
ถ้าเราปฏิบัติไปเกิดความตื่นรู้ช่วงบนนี่คือสภาวะรู้จริง ๆ
แล้วมันมีตัวอวิชชาบังอยู่ที่เป็นตัวจิต
ตัวอวิชชาหรือตัวจิตตัวนี้หลายคนเรียกมันว่าตาที่สามก็ได้
ที่เขาฝึกกันดูนู้นดูนี่ ก็คือตัวจิตที่มันไปส่อง
แต่มันมีสภาวะรู้ของจริงอยู่ข้างหลัง อวิชชามันบังอยู่
ถ้าจะดับทั้งหมดต้องดับที่ตัวนี้ ถ้าดับที่ตัวนี้จบเลย
สภาวะรู้ของจริงนี้ เห็นได้ทั้งตัวจิต
และตัวธรรมารมณ์ที่ผุดขึ้นจากใต้ลิ้นปี่ มันจะผุด ๆ ออกมา
.
ถ้าสติมีความคมพอมันจะใสเหมือนฟองสบู่เลย
เวลาฝึกใช้ญาณต่างๆ ก็ฝึกกันตรงนี้แหละ
ทีนี้ถ้าเราไปฝึกดูจิต ฝึกดูธรรมารมณ์
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคืออะไ
ให้ไปดูจิตเกิดดับก็ไปดูกระบวนการของมันนะ
ตัวอวิชชาทุนเดิมมันก็ใสของมันอยู่
ส่วนตัวนี้มันเป็นกิเลสที่ผุดขึ้น
แต่เมื่อใดที่ดูมัน ตัวนี้จะเกิดจิตส่งออก
ไปจับปุ๊ปแล้วมันจะกลายเป็นจิตที่มีกิเลสขึ้นมา
จริง ๆ วิธีที่ถูกต้อง ต้องวางปล่อยมัน อยู่กับรู้ไปเรื่อย ๆ
ตัวนี้มันก็จะแค่ผุดออก ๆ ๆ
ไม่มีการปรุงแต่งเป็นอัตตาตัวตนเป็นกิเลส
มันจะเป็นแค่กระแสพลังงานที่ผุดออกไป ๆ ๆ
.
สติตรงนี้มันคือสภาวะของสติในระดับของฌานที่สาม
โปร่งโล่งเบาสบาย ตรงนี้ก็เหมาะที่จะพลิกเป็นญาณทัศนะ
แล้วเราพลิกเป็นญาณทัศนะ ตรงนี้นี่จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าญาณเห็นจิต
ก็คือตัวสติกับตัวจิตมันแยกออกจากกันปุ๊ป
มันจะเห็นจิตเกิดดับได้เลย
สติในระดับนี้มีความละเอียดในระดับวาระจิต
ที่ว่าจิตมันเกิดดับรวดเร็วมาก
แต่ถ้าเราพัฒนาสติมาระดับนี
เราจะเห็นการเกิดดับของมันได้เลย
ที่เรียกว่าญาณเห็นจิตหรือญาณทัศนะก็คือสภาวะนี้
ทีนี้ถ้าวางหมดจดหรือเดินจิตเป็น
ก็คือปล่อยให้ตัวจิตหรือตัวอวิชชานี้มันดับไปเลย
นั่นแหละคือสภาวะของนิโรธ
มันจะเหลือแต่สภาวะรู้ที่บริสุทธิ์อยู่
.
อยู่กับรู้ตรงนี้ก็คืออยู่กับรู้ของหลวงปู่ดุลย์
ที่เรียกว่าจิตคือพุทธะ
สภาวะรู้ของหลวงปู่ดุลย์คือสภาวะรู้ของจริง
ไม่ใช่ตัวจิต ตัววิญญาณขันธ์
จริง ๆ ถ้าเราฝึกอยู่กับรู้เป็นเลย
แล้วอยู่กับรู้ไปเลยนี่มันจะเป็นสภาวะที่เป็นนิโรธไปเล
คือมันไร้ตัวตน มันจะเป็นแบบที่หลวงพ่อพุทธทาส
ท่านพูดว่าจิตว่าง มันว่างจากอัตตาตัวตน
คือตัวตนมันหายไป
สภาวะมันก็มีอยู่ปกติแต่ตัวตนมันหายไป
.
ทีนี้จะลองให้ท่านทั้งหลายลองทำดู
ลองผ่อนคลายสบาย ๆ ดู
วางการกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง
อันนี้เข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติตาม คิดตามไม่ได้
ให้รู้จักสภาวะรู้ ให้อยู่กับรู้เป็น วางทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ต้องไปรู้อะไรเลย ก็จะพบว่ามันก็รู้อยู่ดี
#สภาวะรู้ ที่มันไม่รู้อะไรเลยนั่นแหละคือสติตัวจริง
ให้อยู่กับรู้ไปเรื่อย ๆไม่ต้องไปรู้อะไรเลย
วางทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต้องไปรู้อะไรเลย
#มันจะเหลือแค่รู้แค่นั้นเอ
.
อาการดูนี่แหละ ตัวจิตเกิดขึ้น
มหากาพย์แห่งวัฏสงสาร
ที่ปฏิบัติมันพ้นไม่ได้ก็เพราะสภาวะดูนี่แหละ
ถ้าเราวางได้หมดมันจะเหลือแค่รู้
ถ้าอยู่กับรู้เป็น อวิชชามันจะไม่เกิด
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจริง ๆ
มันจะเหลือแค่สภาวะรู้อย่างเดียว
เอาไปลองฝึกดูเล่น ๆ นะ
.
ส่วนใหญ่เราฝึกชอบติดตามดูตามรู้ใช่ไหม
นั่นแหละคือตัวจิตที่มันเกิดขึ้นมาแล้วมันบังของจริง
อาการตัวจิตจริง ๆ มันจะเรียกว่าเป็นอาการดูก็ได้
ถ้าเราละเอียดพอเราจะเห็นการทำงานของมัน
มันเป็นอาการดู ดูตรงไหนจิตมันก็จะส่งออกไปตรงนั้น
แล้วมันก็จะเกิดการยึดมั่นที่ตรงนั้น
#ส่วนสติตัวจริงมันจะเป็นแค่สภาวะรู้
#สภาวะรู้ ที่มันไม่มีอะไรเลย
#มันไม่อะไรกับอะไรเลย มันเป็นสภาวะรู้อย่างเดียว
#แล้วมันไม่ยึดมั่นอะไรเลยทั้งสิ้น
ไม่มีสภาวะที่เรียกว่าการยึดมั่นการเกาะติดใด ๆ ทั้งสิ้น
มันเป็นสภาวะของอมตะธรรม
แต่ถ้าเรายังทำไม่เป็นก็อาศัยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เป็นฐานไปก่อน แล้วพอวางได้ทุกอย่าง
ตัวอวิชชามันจะดับไป
วัฏฏะมันเป็นแค่สภาวะหลงที่มันบังสภาวะรู้ของจริงเท่านั้นเอง
ปฏิบัติทั้งหมดมันต้องทวนกระแสเข้าสู่สภาวะรู้

.................................

ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:12 #8



พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
#เมื่อสัมมาสมาธิเกิดเป็นประธาน
#มันจะแวดล้อมด้วยอริยมรรคทั้งเจ็ดเลย
เรียกว่าเกิดมรรคสมังคี
จากความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
อริยมรรคมีองค์แปดก็จะเกิดขึ้น ตั้งแต่ชั้นนี้ขึ้นไป
ก็จะเกิดการแทงตลอดอริยสัจในชั้นเบื้องต้น
ตัดที่ตัณหาอุปาทาน จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
#สักแต่ว่ารู้ #สักแต่ว่ารู้สึก
#สักแต่ว่าเห็น #สักแต่ว่าได้ยินขึ้นมา
เกิดการปล่อยวางในชั้นต้น
.
เมื่อเราพัฒนาสติขึ้นมาตรงนี้
#ถึงเน้นให้ฝึกอยู่กับความรู้สึกทั้งตัวไปเลย
เช่นวิธีที่แนะนำไว้ #สูดลมหายใจเข้า #หยุดลมหายใจ
ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก
ค่อย ๆ ทำไปเราจะพบว่ามันนิ่งอยู่กับตัวเอง
แล้วมันจะเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา
วิธีนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะส่งให้เกิด
ความรู้สึกทั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว

.
#หรือใครจะใช้วิธีการสแกนร่างกายทั้งตัวก็ได้
#ไล่ไปหัวตัวแขนขาแล้วขยายความรู้สึกทั้งตัวออกไปเลย
ไม่ได้รู้ทีละส่วนแล้ว รู้ทั้งตัวออกไปเลย
#ส่วนใครถนัดที่จะจดจ่ออยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง
เช่นปลายจมูก ท้อง หรือเวลาเดินถนัดจดจ่ออยู่ที่เท้า
#พอทำแล้วก็ฝึกที่จะขยายรู้ทั้งตัวไปเลย
จะพลิกเข้าสู่สภาวะของชั้นสัมมาสมาธิ
จิตตั้งมั่น จิตเป็นกลาง เกิดความตื่นรู้
มันจะเกิดความรู้สึกทั้งตัวขึ้นมา
.


สภาวะของความรู้สึกทั้งตัวในชั้นสัมมาสมาธิ
หลัก ๆ มันจะเป็นความรู้สึกของร่างกายทั่วทั้งตัว
สภาวะนี้มันจะเกิดความรู้สึกชา ๆ ซ่าน ๆ ตามตัว
ปฏิบัติไปเคยเป็นไหม ไม่ใช่เหน็บกินนะ
อาการหนึบ ๆ หยุ่น ๆ คล้ายสนามพลังทั่วทั้งตัว
มันเป็นสภาวะระดับเดียวกันของปิติ
บางทีมันก็เกิดขนลุกทั้งตัว
มีอาการยุบยิบยุบยับเหมือนมดไตทั่วทั้งตัว
อาการตัวโยกโคลงทั้งตัว
#ตรงนี้วิธีพลิก ถ้าปฏิบัติฝึกแบบเพ่ง
#พอเกิดตัวโยกทั้งตัวให้พลิกมารู้ทั้งตัว
#ตรงตัวโยกโคลงมันจะพลิกมาเป็นสัมมาสมาธิเลย
ที่เรียกว่า รู้ปิติ ในอานาปานสติ
มันเป็นสภาวะของชั้นสัมมาสมาธิ
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
สติจะวางจากฐานกายเข้าสู่ฐานของเวทนา
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ภาษาอภิธรรมเรียกว่า
เหลือแต่ปรมัตถธรรม เหลือแต่ความรู้สึกล้วน ๆ
.
#บางทีก็เกิดอาการซ่าน ๆ ทั้งตัว
#คล้ายสนามพลังคล้ายกระแสไฟฟ้าทั้งตัว
#บางทีปฏิบัติไปเกิดกระแสความร้อนทั้งตัว
#บางทีก็เกิดกระแสความเย็น
#บางทีก็เกิดอาการแข็งเป็นหินทั้งตัวเลย
เคยเป็นไหม หรือเกิดสภาวะธรรมแบบนี้ไหม...?
.
ถ้าเราไม่เข้าใจสภาวธรรม
เราปฏิบัติไป เราก็งง ไม่รู้ว่าคืออะไร
แต่ให้สังเกตว่า #ใจเรามันนิ่งขึ้นอยู่กับตัวเองได้ดีขึ้น
มันเป็นผลของการปฏิบัติ
#เมื่อใจเรานิ่งเป็น #ดำรงสติมั่นเป็น
#ปล่อยวางเรื่องภายนอกเป็น
#มันจะเกิดสภาวะนี้ขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
มันเป็นสภาวะที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
.
บางทีก็เกิดอาการตัวลอยทั้งตัว
ขยายทั้งตัวใหญ่ ตัวหนัก ตัวเล็ก เป็นต้น
มันเป็นสภาวะของความรู้สึกตัวทั้งสิ้น
ที่เรียกว่านามกายก็ได้ จะเรียกว่ากายในกายก็ได้
สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงพูดถึง
พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต ธรรมในธรรม
มันเป็นสภาวะของนามกายข้างใ
เป็นสภาวะชั้นสัมมาสมาธิขึ้นไป
เมื่อใดที่เราพัฒนาสติให้มีความนิ่งตั้งมั่นได้
ก็จะเกิดสภาวะพวกนี้ขึ้นมา
ก็ให้แช่อยู่กับความรู้สึกทั้งตัวไปเลย
.
ส่วนวิธีมาอาจจะแตกต่างกัน
ก็ให้มาฝึกที่จะรู้สึกทั้งตัวไปเลย
แล้วการปฏิบัติของเราจะต่อยอดไปได้อีกเยอะ
ความรู้สึกทั้งตัว รู้สึกตัวทั่วพร้อมนี่
มันจะเป็นรอยต่อทั้งภาคสมถะฌานสมาบัติ
และวิปัสสนาญาณทัศนะ
พลิกไปมาได้ระหว่างสัมมาสมาธิกับสัมมาญาณ
ถ้าเราไม่ทำจิตให้เป็นกลาง รู้ตัวทั่วพร้อม
เราจะพลิกจิตไปมาแบบนี้ไม่ได้
เรียกว่ายกจิตเข้าสู่ชั้นปัญญาญาณ
เข้าสู่ชั้นวิปัสสนาญาณไม่ได้
.
แต่ถ้าเราเข้าสู่กระบวนการของสัมมาสมาธิ
คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จะต่อยอดเข้าสู่สัมมาญาณได้
ที่เรียกว่าเห็นตามความเป็นจริง
#ถ้าเราจะพัฒนาสัมมาสมาธิให้มีความตั้งมั่น
#ก็ให้แช่อยู่กับความรู้สึกทั้งตัวไปเลย
นั่งอยู่ก็รู้สึกทั้งตัว ยืนก็รู้สึกทั้งตัว เดินก็รู้สึกทั้งตัว
นอนก็รู้สึกทั้งตัว ทำอะไร ๆ ก็ฝึกที่จะรู้สึกทั้งตัวไปเลย
สติสัมปชัญญะก็จะพัฒนาได้เต็มฐาน

.................................

ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:14 #9



ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม นี่มีประโยชน์มาก
มันเป็นภาคพลังงานของมนุษย์
#ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกทั้งตัวอยู่เป็นประจำ
#เราจะรู้สึกว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
#อะดรีนาลีนเต็มเปี่ยม


ล้วความรู้สึกตัวนี่มันเป็นคู่ปรับกับความคิดปรุงแต่ง
คนเราทุกวันนี้เครียดเยอะ วิตกกังวล เร่าร้อน
#ลองมาอยู่กับความรู้สึกตัว
#มันจะหลุดจากความคิดปรุงแต่ง
ความเครียดหายไป ความเบาสบายเกิดขึ้นมาแทน
ความสุขเกิดขึ้นมา มีความเย็นเป็นสุข
ลดการแสวงหาจากภายนอก
เวลาเรานอน เราก็หลับไปกับความรู้สึกทั้งตัว
มันจะหลับง่าย หลับลึก มีความสุข
ตื่นมาก็สดชื่น ไม่ฟุ้งซ่าน
.
เพราะฉะนั้นประโยชน์มันช่วยเราทุกอย่าง
เมื่อเราอยู่กับความรู้สึกทั้งตัวไปเรื่อย ๆ
สุขภาพเราก็จะดีขึ้น
#ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม #จะช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
ถ้าเราเดินจิตเป็น มันจะพลิกไปตามธาตุต่าง ๆ ได้ด้วย
แปรไปเป็นธาตุไฟ เกิดกระแสความร้อนทั้งตัว
เกิดกระแสความเย็น แปรไปเป็นธาตุน้ำ ธาตุลม
ก็จะปรับสมดุลธาตุร่างกายเร
.
ที่ทุกวันนี้สุขภาพเราไม่แข็งแรง เราป่วย
#หนึ่งเป็นเพราะความเครียด วิตกกังวล
#สองเพราะร่างกายมันไม่สมดุ
ความรู้สึกตัว ถ้าเราอยู่กับมันเป็นประจำ มันจะปรับสมดุล
เราจะรู้สึกว่าสุขภาพเราแข็งแรงขึ้น
กระปรี้กระเปร่าขึ้น มีพลังในการใช้ชีวิต
มีพลังที่เราจะอยู่กับโลก แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้
ไม่จมปลักไปกับความคิด
โลกของความคิด นี่มันก่อให้เกิดความทุกข์ ความเร่าร้อน
เมื่อเรากลับมาอยู่กับความรู้สึกตัว
มันจะหลุดจากพวกนี้
.
เบื้องต้นอาศัยฐานของสติปัฏฐาน
และฐานที่เป็นฐานใหญ่ คือฐานของเวทนา
คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ทีนี้เมื่อเราอยู่กับความรู้สึกทั้งตัวไปเรื่อย ๆ
สติมันจะละเอียดขึ้น
มันก็จะเกิดความซาบซ่านทั่วทั้งตัว
#อาการซาบซ่านทั่วทั้งตัวนี่แหละ #คือธรรมะปิติ
เราจะรู้สึกเลยว่า เราทรงพลังมาก
.
ถ้าเราเดินจิตในความรู้สึกตัวเป็นนี่ ใช้ประโยชน์ได้
มันเป็นภาคพลังงานของร่างกา
มนุษย์เรามีพลังงานอยู่แล้ว มีขุมทรัพย์ที่ดีอยู่แล้ว
เพียงแต่เราไม่ได้อยู่กับมั
#เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่กับตัวเองเป็น
#อยู่กับความรู้สึกทั้งตัวเสมอๆ
#พลังแห่งชีวิตตรงนี้ #มันจะถูกปลุกขึ้นมา
เหมือนพวกฝรั่ง ที่เขาไปฝึกของอินเดีย โยคี
พลังกุณฑาลิณีบ้าง การเปิดจักระทั้งเจ็ดบ้าง
พลังจักรวาล พลังธรรมชาติบ้าง
ที่จริงพวกนี้มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของ
เวทนานุปัสสานาสติปัฏฐาน
มันเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกตัวเท่านั้นเอง
.
ถ้าเราดำรงสติมั่น จักระทั้งเจ็ดมันจะเปิดขึ้นหมดเลย
แล้วสิ่งที่ปรากฏก็คือ ปิติความซาบซ่านทั่วทั้งตัว
ที่เขาฝึกกัน ไม่ต้องไปไล่เปิดทีละฐาน ดำรงสติมั่นเป็น
#สติตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิก็จะเกิดความรู้สึกทั้งตัวขึ้นมา
#จะเกิดความซาบซ่านทั่วทั้งตัวขึ้นมา
#นั่นแหละจักระมันจะเปิดหมดเลย
พลังกุณฑลิณีก็จะเกิดขึ้น
เราจะเป็นมนุษย์ที่ทรงพลังมาก
#เราเอาพลังตรงนี้ไปใช้กับโลกได้
#ทำให้จิตเรามีความหนักแน่นมั่นคง
มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงขึ้น
ปล่อยวางเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากขึ้น
มีขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆได้
พัฒนาศักยภาพมนุษย์ของเราขึ้นมาได้
.
ที่เขาบอกว่ามนุษย์เราสามารถใช้ศักยภาพของตัวเอง
ได้เพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
อีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์มันปลุกได้
โดยการเจริญสติปัฏฐาน
พัฒนาขึ้นมา ศักยภาพของเราจะถูกปลุก
แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันในโลกได้
ทำให้เราอยู่กับโลกได้อย่างเป็นสุข

.................................

ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

9 มิ.ย. 2562 18:16 #10



แยกให้ออกระหว่าง #อาการดู กับ #อาการรู้
ถ้ารู้เป็นเมื่อไรนั่นแหละการปฏิบัติ
ที่เรียกว่าสามารถพ้นจากทุกข์ได้
.
#อาการดูมันเป็นอาการของจิต
มันเหมือนไฟฉายนะ
#ฉายไปตรงไหนมันก็ส่องแค่ตรงนั้น
#มันก็เห็นแค่ตรงนั้น #มันก็รู้แค่ตรงนั้น
นั่นคืออาการของจิต
.
#แต่อาการของสติ ที่เป็นสภาวะรู้
#มันเหมือนแสงเทียน มันเหมือนแสงไฟ
#มันจะสว่างออกรอบตัว
#ทุกสิ่งที่อยู่ในข่ายของมันจะถูกรู้ทั้งหมด
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจึงเกิดขึ้น
.
จิตมันรู้ได้ทีละอารมณ์ใช่ไหม
นั่นมันคือสภาวะของจิต เกิดดับ รู้ได้ทีละอารมณ์
#แต่สภาวะของสติไม่ใช่ #สภาวะของสติมันเหมือนเรด้า
#ทุกอย่างที่อยู่ในข่ายของสติจะถูกรู้ทั้งหมด
เกิดพร้อมกัน ก็รู้พร้อมกัน
สติที่พูดถึงนี่คือ สติตัวจริงนะ
ภาษาพระท่านเรียกว่า ญาณทัศนะ ยถาภูตญาณทัสสนะ
การรู้เห็นตามความเป็นจริง
วิมุตติญาณทัสสนะ การรู้เห็นความหลุดพ้น
ญาณทัสสนะวิสุทธิ สภาวะนิโรธ ที่เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ
มันก็คือสภาวะรู้อันนี้เท่านั้นเอง
แล้วแต่ภาษาจะพาไป คำว่าญาณทัศนะก็คือตัวนี้
.
#ทุกคนมีส่วนหนึ่งของสภาวะรู้นี้อยู่
#การปฏิบัติก็คือเพื่อปลุกสภาวะรู้นี้ขึ้นมา
เพราะฉะนั้นลักษณะของการปฏิบัติ
มันจะเป็นแค่การตื่นรู้เท่านั้นเอง
พอตื่นรู้แล้ว ยืน เดิน นั่ง นอน
ก็รู้ตื่นไปเรื่อย ๆ รู้ ตื่น เบิกบานไป

.................................

ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)

Admin_support

Admin_support

ผู้ดูแล

ตอบกระทู้
CAPTCHA Image
Powered by MakeWebEasy.com