Admin_support
9 Jun 2019 18:01 #3
ท่านทั้งหลายก็มีกำลังใจที
มาสู่การปฏิบัติธรรม เจริญสติปัฏฐานสี่ได้
เราก็ตั้งใจของเราให้ดี วางแล้วก็วางให้จริง
ปิดโทรศัพท์ ลองตัดภาระต่าง ๆ
เครื่องกังวลเครื่องร้อยรัด
ลองมีสติอยู่กับตัวเองดู ฝึกที่จะอยู่กับตัวเอง
ทำความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ๆ ดู
เรียกว่าฝึกที่จะหยุดใจไว้น
.
ปกติใจมันนิ่งหรือเปล่า
ส่วนใหญ่แล้วมันก็ไหลไปเรื่
เรียกว่าเราอยู่กับโลกของคว
คนเราทุกวันนี้มันก็ทุกข์เพ
เกิดความเร่าร้อนต่าง ๆ ตามมามาก
เกิดความเครียดความวิตกกังว
สุขภาพจิตแย่ สุขภาพกายก็พลอยแย่ไปด้วย
โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมามาก
ทำงานเท่าไรก็หมดค่ารักษาพย
โรคต่าง ๆ ก็มาจากสุขภาพจิตเป็นส่วนให
ความเครียดความวิตกกังวล
.
แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตอย่าง
ปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ เป็น
ความเครียดไม่เกิด ความวิตกกังวลไม่เกิด
แล้วเราจะพบเลยว่าชีวิตเราด
เราสามารถที่จะแก้ไขปัญหาต่
โดยไม่ทุกข์ไปกับมันได้
.
คนที่ฝึกจิตได้ดีแล้วจนนิ่
เขาจะมีความสุขกับการอยู่กั
แสวงหาสิ่งต่าง ๆ ภายนอกลดลง
แต่ถ้าใจเรามันไม่นิ่ง
มันต้องคอยแสวงหาไปเรื่อยไม
.
แล้วคนที่เขาฝึกสติให้ตั้ง
เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำงานสร
ก็จะมีความสร้างสรรค์ต่าง ๆ
ที่น่าทึ่งน่าอัศจรรย์เนี่ย
หน้าที่การงานเรา ชีวิตเรา ครอบครัวเรา
การใช้ชีวิตของเรามันจะดีขึ
ถ้าเราปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อ
ความเร่าร้อนลดลง ใจเย็นขึ้น สงบขึ้น
มีความสุขขึ้น เบิกบานขึ้น
เราจะสัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ
เหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ถ้าเราปฏิบัติธรรม
.
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin
Admin_support
9 Jun 2019 18:03 #4
ในการเจริญสติปัฏฐานสี่
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานสี่
จะปรารถนาความพ้นจากทุกข์หร
ก็สามารถพ้นได้ถ้าปฏิบัติถู
.
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
#ตั้งกายตรงดำรงสติมั่น
ตรงนี้คือหัวใจ ของการเจริญสติปัฏฐานสี่ทั้
#ดำรงสติมั่น คือ #รู้ธรรมเฉพาะหน้า
ถ้าเราเริ่มต้นที่ดำรงสติมั
เรียกว่าการเจริญสัมมาสติ
คือการเจริญสติที่ถูกต้อง
ผลที่ตามมาก็จะถูกต้องไปเอง
.
สัมมาสติ ดำรงสติมั่น รู้ธรรมเฉพาะหน้าเป็นอย่างไ
ใครรู้บ้าง ดำรงสติมั่นแต่ละคนก็ไม่เหม
เป็นสิ่งที่ยากอยู่ถ้าเราจะ
แต่ลักษณะของมันสำหรับคนที่
สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร
มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าคว
.
ในสติปัฏฐานที่พระพุทธองค์
มีความเพียร มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ
ละความพอใจ ไม่พอใจในโลก
ตรงนี้แหละคือวิธีการปฏิบัต
ตรงนี้ถ้าที่หลวงพ่อ(ท่านเจ
หลายท่านเป็นศิษย์วัดมเหยงค
หลวงพ่อก็จะสอนว่า หยุดใจไว้นิ่ง ๆ ไม่วิ่งไปจับอารมณ์
หยุดใจไว้นิ่ง ๆ รู้ทุกสิ่งเป็นเช่นนั้นเอง
นั่นคือสภาวะของการดำรงสติม
.
จิตมันจะหยุดนิ่งตั้งมั่นอ
ไม่เกิดกระแสที่เรียกว่าวิ่
ไม่เกิดอาการที่เรียกว่า ตามดู ตามรู้ จิตนิ่งตั้งมั่นอยู่
แต่รู้สภาวธรรมตามความเป็นจ
มันจะต่างจากการที่เราไปเพ่
ถ้าเราไปเพ่งที่จุดใดจุดหนึ
มันนิ่งแต่มันไม่รู้ตามความ
แต่ถ้าเราหยุดใจโดยไม่ต้องไ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันจะเกิ
ถ้าเราวางเป็น ดำรงสติมั่นเป็น
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin
Admin_support
9 Jun 2019 18:05 #5
วิธีปฏิบัติเบื้องต้น ท่านทั้งหลายมีความคล่องตัว
ทำแล้วมันรู้สึกนิ่งดี สงบดีแล้ว
ก็สำรวจสภาวะของตัวเองดูว่า
ถ้ามันเป็นสมาธิที่นิ่งจดจ่
เมื่อมันนิ่งดีแล้ว ก็ขยายการรับรู้ออกมาทั่วทั
มันจะเกิดความรู้สึกตัวทั่ว
จิตมันจะเป็นกลางตั้งมั่นขึ
เกิดความรู้พร้อมทั้งกายทั้
.
สำหรับคนใหม่หรือว่าคนที่ฝ
อาจจะอาศัยอุปกรณ์การหายใจเ
สูดลมเข้าจนเต็มปอด กลั้นลมหายใจสักเล็กน้อย
มันจะเกิดความรู้สึกตัวขึ้น
ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกสบาย ๆ
ถ้าใครใช้วิธีนี้ได้แล้วรู้
ตรงนี้จะส่งเข้าสู่สภาวะควา
.
พอรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็น
ก็แช่อยู่กับความรู้สึกทั่ว
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพ
ความรู้สึกตัวของร่างกายในส
มันก็จะเกิดความรู้สึกชา ๆ ซ่าน ๆ ตามตัว หัวตัวแขนขา
อาการหนึบ ๆ หยุ่น ๆ คล้ายสนามพลัง
บางทีก็เหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่
เกิดอาการ ปิติ ตัวโยกโคลงทั้งตัวบ้าง ขนลุกทั้งตัวบ้าง
เกิดกระแสความร้อนทั้งตัวบ้
บางทีก็เกิดอาการแข็งเป็นหิ
บางทีก็เกิดอาการตัวลอยตัวเ
เกิดอาการขยายตัวหดตัวบ้าง
อันนี้คือสภาวะของชั้นสัมมา
.
ในอานาปานสติจากฐานกายเข้า
รู้ปิติก็คือสภาวะของความรู
อันนี้เป็นสภาวะชั้นต้นของส
คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มันจะเป็นความรู้สึกของร่าง
ใครปฏิบัติไปเคยเจอบ้าง
ซาบซ่านทั่วทั้งตัว ขนลุกขนพองทั้งตัว
อาการความรู้สึกตัว ถ้าเรานิ่งเป็นแล้วจะเกิดสภ
แล้วเราแช่อยู่กับความรู้สึ
สติสัมปชัญญะของเราจะพัฒนาไ
เรียกว่ามันเต็มฐานความรู้ส
จากนั้นก็ฝึกรู้สึกทั้งตัวไ
ยืน เดิน นั่ง นอน ทำอะไรก็รู้สึกทั้งตัวไปเลย
สติสัมปชัญญะก็จะละเอียดขึ้
.
ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ สติสัมปชัญญะละเอียดขึ้น
จากความซาบซ่านทั่วทั้งตัว ก็จะเกิดความสุข เบาสบาย
เบากาย เบาใจ เกิดความโปร่งโล่งเบาสบาย
ถ้าเราพัฒนาสติมาถึงโปร่งโล
เราจะพบเลยว่าที่จริงแล้วนี
จากภายนอกที่ไหนเลย อยู่ภายในใจของเรานี่เอง
จะพบกับความสุขเบาสบาย ที่มันประณีตขึ้นโดยลำดับ
จากที่เคยเป็นคนเครียดคิดว่
ความเร่าร้อนเหล่านี้จะหายไ
ต่อให้เรามีเงินทองมากมายสั
มีอำนาจมากมายสักเพียงใด
ก็ไม่สามารถที่จะพบกับความส
แต่สามารถพบได้จากการปฏิบัต
ทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แ
.
ความสุขจากชั้นโปร่งโล่งเบ
กายเบาจิตเบาโปร่งโล่งเบาสบ
ปฏิบัติไปก็เหลือแต่ความเบา
แต่จากนั้นมันก็จะละเอียดขึ
นี่คือสภาวะของสัมมาสมาธิ ใจเราก็จะนิ่งขึ้นสงบขึ้นตั
จากนั้นก็จะพาเดินจิตพลิกเป
เกิดการแยกธาตุแยกขันธ์ เกิดการรู้เห็นตามความเป็นจ
สภาวะของสัมมาญาณทุกสิ่งทุก
ก็จะเกิดการแยกธาตุแยกขันธ์
มิติใครมิติมัน เกิดดับของใครของมัน
เห็นขันธ์ทั้งห้า เกิดดับตามความเป็นจริง
เกิดญาณเห็นจิตสภาวะของสัมม
.
เกริ่นให้ท่านทั้งหลายเข้า
จากสัมมาสติตั้งกายตรงดำรงส
เข้าสู่สัมมาสมาธิเกิดความร
เกิดการรู้จิต พลิกเป็นสัมมาญาณ
เกิดการเห็นธรรมตามความเป็น
เข้าสู่สัมมาวิมุต จิตหลุดพ้น นิโรธอวิชชาดับ
สเต็ปการปฏิบัติก็จะเป็นแบบ
ถ้าเราดำเนินได้ถูกต้อง
สติสัมปชัญญะก็จะพัฒนาไปแนว
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin
Admin_support
9 Jun 2019 18:08 #6
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
หากว่าโลกนี้ไม่มีธรรมชาติท
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
ก็จะไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอ
พระสัจธรรมก็ไม่ต้องแพร่หลา
แต่เพราะว่าโลกนี้มีธรรมชาต
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
จึงต้องมีพระพุทธเจ้าเสด็จอ
พระสัจธรรมจึงต้องแพร่หลายไ
.
ทรงตรัสว่าเมื่อมีธรรมชาติ
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
ก็ต้องมีธรรมชาติที่พ้นจาก
การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย
เมื่อมีกองทุกข์ก็ต้องมีธรร
ที่พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง
นั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงท
และทรงประกาศพระสัจธรรม
.
หนทางที่จะเข้าถึงธรรมชาติ
ที่พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงได
ธรรมชาติ พระองค์ทรงแบ่งไว้สองประเภท
.
ที่เรียกว่า #สังขตธรรม ธรรมชาติของมันก็คือ
#มีการเกิดปรากฏมีการเสื่อม
#เมื่อตั้งอยู่ก็เปลี่ยนแปล
.
ส่วนธรรมชาติอีกประเภทหนึ่ง
ที่เรียกว่า #อสังขตธรรม
ลักษณะของอสังขตธรรมก็คือ
#ไม่มีการเกิดปรากฏ #ไม่มีการเสื่อมปรากฏ
#คงสภาวะเช่นนั้นเอง
.
สภาวะของอสังขตธรรมนี่
#จะเป็นสภาวะรู้ที่บริสุทธิ
เป็นความว่างที่บริสุทธิ์อย
ธาตุรู้กับวิญญาณขันธ์เป็นค
สภาวะของอสังขตธรรมหรืออมตะ
#จะเป็นแค่สภาวะรู้ที่ไร้ตั
ที่เรียกว่าสุญญตาและเป็นคว
.
ทุกคนมีส่วนหนึ่งของธาตุรู
ถ้าไม่มีส่วนนี้ จะพ้นจากกองทุกข์ไม่ได้เลย
แต่เพราะความไม่รู้จึงถูกอว
ถูกความหลงเข้าครอบงำ
จากนั้นก็หลงวกวนอยู่ในวัฏส
เกิดแก่เจ็บตายวนเวียนอยู่ร
♥ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัส
#เพราะสัตว์โลกไม่รู้พระสัจ
#จึงถูกอวิชชาเป็นเครื่องกั
#จึงต้องท่องเที่ยวไปในวัฏส
#ไม่สามารถที่จะกำหนดถึงเบื
.
สมมุติว่านำดินมาทั้งโลกนี
มาปั้นเป็นลูกเล็ก ๆ เท่าลูกกระเบ้า
สมมุติว่าก้อนนี้แทนผู้ที่เ
ก้อนนี้แทนผู้ที่เคยเกิดเป็
นำมานับอย่างนี้อยู่ร่ำไป ปรากฏว่าดินทั้งโลกหมดก่อน
แต่ผู้ที่เคยเกิดเป็นพ่อเรา
วัฏฏะสงสารมันยาวนานเช่นนั้
การเกิดทุกคราวก็ต้องพบกับค
ต้องพบกับสภาพของการเกิด
สภาพของการเจ็บไข้ได้ป่วย
สภาพของการแก่ สภาพของการตาย
เกิดแก่เจ็บตายวนเวียนอยู่ร
ตราบใดที่เรายังไม่พบพระสัจ
ไม่แทงตลอดความจริงของธรรมช
ชีวิตของเราท่านทั้งหลายก็จ
ในวัฏสงสารเช่นนี้อยู่ร่ำไป
.
ปัจจุบันจึงนับว่าเป็นโอกา
ที่เราท่านทั้งหลายได้มีโอก
ได้มีโอกาสที่จะทำตามคำสอนข
ทำที่พึ่งให้กับตนเอง ก็จะเป็นโอกาสอันดีของชีวิต
ที่จะสามารถหลุดพ้นจากวังวน
.
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
#สติปัฏฐานสี่เป็นทางสายเดี
#ที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ได
คำว่าสติที่เป็นทางสายเดียว
ที่จะพ้นจากกองทุกข์ได้ก็คื
ที่เป็นอมตะธรรมนั่นแหละ
เมื่อใดที่สามารถเข้าถึงสภา
ก็จะหลุดจากกองทุกข์หลุดจาก
.
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม
เราจะใช้วิธีเบื้องต้นอย่าง
จะพ้นจากกองทุกข์ได้
#ต้องเข้าถึงสภาวะรู้ที่เรี
#สภาวะของมันจะเป็นแค่สภาวะ
#ไม่อะไรกับอะไรเลย #ไร้ตัวตนไร้ความยึดติด
#ซึ่งทุกคนมีส่วนหนึ่งของสภ
แต่ถูกอวิชชาเข้าบดบัง ถูกความหลงเข้าบดบัง
.
ดั่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัส
จิตนี้ประภัสสรผ่องใสมาแต่เ
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจ
#ประดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญง
#ถูกเมฆหมอกเข้าบดบังพระจัน
#ถูกความคิดปรุงแต่งถูกความ
เกิดตัวตนเกิดภพเกิดชาติหลง
การที่เราจะออกจากวังวนเหล่
ก็ด้วยการปฏิบัติธรรม คือ การเจริญสติปัฏฐานสี่
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin
Admin_support
9 Jun 2019 18:10 #7
ใครเคยรู้สึกได้ #กระแสของธรรมารมณ์
#ที่มันผุดจากใต้ลิ้นปี่ขึ้
ตรงนี้ถ้าในอภิธรรมจะเรียกว
ที่ว่าจิตเกิดจากหทัยวัตถุ
จริง ๆ มันเป็นแค่กระแสของธรรมารมณ
เราจะทันกระบวนการนี้หรือเห
สติเราต้องมีความละเอียดพอ
มันมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เ
.
กิเลสทั้งหมดเวลามันเกิดขึ
มันเกิดขึ้นจากใต้ลิ้นปี่นี
มันผุดขึ้นมา ๆ แล้วมันออกที่ประตูญาณ
อันนั้นจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ธรรมารมณ์
เป็นตัวจิตสังขารก็ได้แล้วแ
กิเลสรักโลภโกรธหลงทั้งหมดเ
ทั้งภายในและภายนอกไม่ใช่เฉ
บางทีกระแสจิตไปรับอารมณ์ขอ
มันก็จะมาผุดตรงนี้ ถ้าสติเราละเอียดระดับหนึ่ง
เราจะรู้เลยกิเลสมันเกิดจาก
มันก็เกิดจากตรงนี้แหละ รักโลภโกรธหลงเกิดดับๆๆไป
.
แต่ตรงนั้นมันยังไม่ใช่ตัว
มันเป็นแค่กระแสที่เกิดดับอ
ตัวอวิชชามันจะเป็นจิต ที่มันคู่กับสติตัวจริงหรือ
โดยปกติธรรมชาติมันจะอยู่ที
แต่บางคนอาจจะเลื่อนลงมาได้
ถ้าเราปฏิบัติไปเกิดความตื่
แล้วมันมีตัวอวิชชาบังอยู่ท
ตัวอวิชชาหรือตัวจิตตัวนี้ห
ที่เขาฝึกกันดูนู้นดูนี่ ก็คือตัวจิตที่มันไปส่อง
แต่มันมีสภาวะรู้ของจริงอยู
ถ้าจะดับทั้งหมดต้องดับที่ต
สภาวะรู้ของจริงนี้ เห็นได้ทั้งตัวจิต
และตัวธรรมารมณ์ที่ผุดขึ้นจ
.
ถ้าสติมีความคมพอมันจะใสเห
เวลาฝึกใช้ญาณต่างๆ ก็ฝึกกันตรงนี้แหละ
ทีนี้ถ้าเราไปฝึกดูจิต ฝึกดูธรรมารมณ์
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคืออะไ
ให้ไปดูจิตเกิดดับก็ไปดูกระ
ตัวอวิชชาทุนเดิมมันก็ใสของ
ส่วนตัวนี้มันเป็นกิเลสที่ผ
แต่เมื่อใดที่ดูมัน ตัวนี้จะเกิดจิตส่งออก
ไปจับปุ๊ปแล้วมันจะกลายเป็น
จริง ๆ วิธีที่ถูกต้อง ต้องวางปล่อยมัน อยู่กับรู้ไปเรื่อย ๆ
ตัวนี้มันก็จะแค่ผุดออก ๆ ๆ
ไม่มีการปรุงแต่งเป็นอัตตาต
มันจะเป็นแค่กระแสพลังงานที
.
สติตรงนี้มันคือสภาวะของสต
โปร่งโล่งเบาสบาย ตรงนี้ก็เหมาะที่จะพลิกเป็น
แล้วเราพลิกเป็นญาณทัศนะ ตรงนี้นี่จะเกิดสิ่งที่เรีย
ก็คือตัวสติกับตัวจิตมันแยก
มันจะเห็นจิตเกิดดับได้เลย
สติในระดับนี้มีความละเอียด
ที่ว่าจิตมันเกิดดับรวดเร็ว
แต่ถ้าเราพัฒนาสติมาระดับนี
เราจะเห็นการเกิดดับของมันไ
ที่เรียกว่าญาณเห็นจิตหรือญ
ทีนี้ถ้าวางหมดจดหรือเดินจิ
ก็คือปล่อยให้ตัวจิตหรือตัว
นั่นแหละคือสภาวะของนิโรธ
มันจะเหลือแต่สภาวะรู้ที่บร
.
อยู่กับรู้ตรงนี้ก็คืออยู่
ที่เรียกว่าจิตคือพุทธะ
สภาวะรู้ของหลวงปู่ดุลย์คือ
ไม่ใช่ตัวจิต ตัววิญญาณขันธ์
จริง ๆ ถ้าเราฝึกอยู่กับรู้เป็นเลย
แล้วอยู่กับรู้ไปเลยนี่มันจ
คือมันไร้ตัวตน มันจะเป็นแบบที่หลวงพ่อพุทธ
ท่านพูดว่าจิตว่าง มันว่างจากอัตตาตัวตน
คือตัวตนมันหายไป
สภาวะมันก็มีอยู่ปกติแต่ตัว
.
ทีนี้จะลองให้ท่านทั้งหลาย
ลองผ่อนคลายสบาย ๆ ดู
วางการกำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง
อันนี้เข้าถึงได้ด้วยการปฏิ
ให้รู้จักสภาวะรู้ ให้อยู่กับรู้เป็น วางทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ต้องไปรู้อะไรเลย ก็จะพบว่ามันก็รู้อยู่ดี
#สภาวะรู้ ที่มันไม่รู้อะไรเลยนั่นแหล
ให้อยู่กับรู้ไปเรื่อย ๆไม่ต้องไปรู้อะไรเลย
วางทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต้องไ
#มันจะเหลือแค่รู้แค่นั้นเอ
.
อาการดูนี่แหละ ตัวจิตเกิดขึ้น
มหากาพย์แห่งวัฏสงสาร
ที่ปฏิบัติมันพ้นไม่ได้ก็เพ
ถ้าเราวางได้หมดมันจะเหลือแ
ถ้าอยู่กับรู้เป็น อวิชชามันจะไม่เกิด
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจริง ๆ
มันจะเหลือแค่สภาวะรู้อย่าง
เอาไปลองฝึกดูเล่น ๆ นะ
.
ส่วนใหญ่เราฝึกชอบติดตามดู
นั่นแหละคือตัวจิตที่มันเกิ
อาการตัวจิตจริง ๆ มันจะเรียกว่าเป็นอาการดูก็
ถ้าเราละเอียดพอเราจะเห็นกา
มันเป็นอาการดู ดูตรงไหนจิตมันก็จะส่งออกไป
แล้วมันก็จะเกิดการยึดมั่นท
#ส่วนสติตัวจริงมันจะเป็นแค
#สภาวะรู้ ที่มันไม่มีอะไรเลย
#มันไม่อะไรกับอะไรเลย มันเป็นสภาวะรู้อย่างเดียว
#แล้วมันไม่ยึดมั่นอะไรเลยท
ไม่มีสภาวะที่เรียกว่าการยึ
มันเป็นสภาวะของอมตะธรรม
แต่ถ้าเรายังทำไม่เป็นก็อาศ
เป็นฐานไปก่อน แล้วพอวางได้ทุกอย่าง
ตัวอวิชชามันจะดับไป
วัฏฏะมันเป็นแค่สภาวะหลงที่
ปฏิบัติทั้งหมดมันต้องทวนกร
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin
Admin_support
9 Jun 2019 18:12 #8
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
#เมื่อสัมมาสมาธิเกิดเป็นปร
#มันจะแวดล้อมด้วยอริยมรรคท
เรียกว่าเกิดมรรคสมังคี
จากความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
อริยมรรคมีองค์แปดก็จะเกิดข
ก็จะเกิดการแทงตลอดอริยสัจใ
ตัดที่ตัณหาอุปาทาน จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
#สักแต่ว่ารู้ #สักแต่ว่ารู้สึก
#สักแต่ว่าเห็น #สักแต่ว่าได้ยินขึ้นมา
เกิดการปล่อยวางในชั้นต้น
.
เมื่อเราพัฒนาสติขึ้นมาตรง
#ถึงเน้นให้ฝึกอยู่กับความร
เช่นวิธีที่แนะนำไว้ #สูดลมหายใจเข้า #หยุดลมหายใจ
ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก
ค่อย ๆ ทำไปเราจะพบว่ามันนิ่งอยู่ก
แล้วมันจะเกิดความรู้สึกตัว
วิธีนี้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จ
ความรู้สึกทั้งตัวได้อย่างร
.
#หรือใครจะใช้วิธีการสแกนร่
#ไล่ไปหัวตัวแขนขาแล้วขยายค
ไม่ได้รู้ทีละส่วนแล้ว รู้ทั้งตัวออกไปเลย
#ส่วนใครถนัดที่จะจดจ่ออยู่
เช่นปลายจมูก ท้อง หรือเวลาเดินถนัดจดจ่ออยู่ท
#พอทำแล้วก็ฝึกที่จะขยายรู้
จะพลิกเข้าสู่สภาวะของชั้นส
จิตตั้งมั่น จิตเป็นกลาง เกิดความตื่นรู้
มันจะเกิดความรู้สึกทั้งตัว
.
สภาวะของความรู้สึกทั้งตัว
หลัก ๆ มันจะเป็นความรู้สึกของร่าง
สภาวะนี้มันจะเกิดความรู้สึ
ปฏิบัติไปเคยเป็นไหม ไม่ใช่เหน็บกินนะ
อาการหนึบ ๆ หยุ่น ๆ คล้ายสนามพลังทั่วทั้งตัว
มันเป็นสภาวะระดับเดียวกันข
บางทีมันก็เกิดขนลุกทั้งตัว
มีอาการยุบยิบยุบยับเหมือนม
อาการตัวโยกโคลงทั้งตัว
#ตรงนี้วิธีพลิก ถ้าปฏิบัติฝึกแบบเพ่ง
#พอเกิดตัวโยกทั้งตัวให้พลิ
#ตรงตัวโยกโคลงมันจะพลิกมาเ
ที่เรียกว่า รู้ปิติ ในอานาปานสติ
มันเป็นสภาวะของชั้นสัมมาสม
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
สติจะวางจากฐานกายเข้าสู่ฐา
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ภาษาอภิธรรมเรียกว่า
เหลือแต่ปรมัตถธรรม เหลือแต่ความรู้สึกล้วน ๆ
.
#บางทีก็เกิดอาการซ่าน ๆ ทั้งตัว
#คล้ายสนามพลังคล้ายกระแสไฟ
#บางทีปฏิบัติไปเกิดกระแสคว
#บางทีก็เกิดกระแสความเย็น
#บางทีก็เกิดอาการแข็งเป็นห
เคยเป็นไหม หรือเกิดสภาวะธรรมแบบนี้ไหม
.
ถ้าเราไม่เข้าใจสภาวธรรม
เราปฏิบัติไป เราก็งง ไม่รู้ว่าคืออะไร
แต่ให้สังเกตว่า #ใจเรามันนิ่งขึ้นอยู่กับตั
มันเป็นผลของการปฏิบัติ
#เมื่อใจเรานิ่งเป็น #ดำรงสติมั่นเป็น
#ปล่อยวางเรื่องภายนอกเป็น
#มันจะเกิดสภาวะนี้ขึ้นมาเอ
มันเป็นสภาวะที่มีอยู่แล้วโ
.
บางทีก็เกิดอาการตัวลอยทั้
ขยายทั้งตัวใหญ่ ตัวหนัก ตัวเล็ก เป็นต้น
มันเป็นสภาวะของความรู้สึกต
ที่เรียกว่านามกายก็ได้ จะเรียกว่ากายในกายก็ได้
สติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรง
พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต ธรรมในธรรม
มันเป็นสภาวะของนามกายข้างใ
เป็นสภาวะชั้นสัมมาสมาธิขึ้
เมื่อใดที่เราพัฒนาสติให้มี
ก็จะเกิดสภาวะพวกนี้ขึ้นมา
ก็ให้แช่อยู่กับความรู้สึกท
.
ส่วนวิธีมาอาจจะแตกต่างกัน
ก็ให้มาฝึกที่จะรู้สึกทั้งต
แล้วการปฏิบัติของเราจะต่อย
ความรู้สึกทั้งตัว รู้สึกตัวทั่วพร้อมนี่
มันจะเป็นรอยต่อทั้งภาคสมถะ
และวิปัสสนาญาณทัศนะ
พลิกไปมาได้ระหว่างสัมมาสมา
ถ้าเราไม่ทำจิตให้เป็นกลาง รู้ตัวทั่วพร้อม
เราจะพลิกจิตไปมาแบบนี้ไม่ไ
เรียกว่ายกจิตเข้าสู่ชั้นปั
เข้าสู่ชั้นวิปัสสนาญาณไม่ไ
.
แต่ถ้าเราเข้าสู่กระบวนการ
คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จะต่อยอดเข้าสู่สัมมาญาณได้
ที่เรียกว่าเห็นตามความเป็น
#ถ้าเราจะพัฒนาสัมมาสมาธิให
#ก็ให้แช่อยู่กับความรู้สึก
นั่งอยู่ก็รู้สึกทั้งตัว ยืนก็รู้สึกทั้งตัว เดินก็รู้สึกทั้งตัว
นอนก็รู้สึกทั้งตัว ทำอะไร ๆ ก็ฝึกที่จะรู้สึกทั้งตัวไปเ
สติสัมปชัญญะก็จะพัฒนาได้เต
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin
Admin_support
9 Jun 2019 18:14 #9
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม นี่มีประโยชน์มาก
มันเป็นภาคพลังงานของมนุษย์
#ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกทั
#เราจะรู้สึกว่าเต็มเปี่ยมไ
#อะดรีนาลีนเต็มเปี่ยม
แล้วความรู้สึกตัวนี่มันเป็
คนเราทุกวันนี้เครียดเยอะ วิตกกังวล เร่าร้อน
#ลองมาอยู่กับความรู้สึกตัว
#มันจะหลุดจากความคิดปรุงแต
ความเครียดหายไป ความเบาสบายเกิดขึ้นมาแทน
ความสุขเกิดขึ้นมา มีความเย็นเป็นสุข
ลดการแสวงหาจากภายนอก
เวลาเรานอน เราก็หลับไปกับความรู้สึกทั
มันจะหลับง่าย หลับลึก มีความสุข
ตื่นมาก็สดชื่น ไม่ฟุ้งซ่าน
.
เพราะฉะนั้นประโยชน์มันช่วย
เมื่อเราอยู่กับความรู้สึกท
สุขภาพเราก็จะดีขึ้น
#ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม #จะช่วยปรับสมดุลในร่างกาย
ถ้าเราเดินจิตเป็น มันจะพลิกไปตามธาตุต่าง ๆ ได้ด้วย
แปรไปเป็นธาตุไฟ เกิดกระแสความร้อนทั้งตัว
เกิดกระแสความเย็น แปรไปเป็นธาตุน้ำ ธาตุลม
ก็จะปรับสมดุลธาตุร่างกายเร
.
ที่ทุกวันนี้สุขภาพเราไม่แข
#หนึ่งเป็นเพราะความเครียด วิตกกังวล
#สองเพราะร่างกายมันไม่สมดุ
ความรู้สึกตัว ถ้าเราอยู่กับมันเป็นประจำ มันจะปรับสมดุล
เราจะรู้สึกว่าสุขภาพเราแข็
กระปรี้กระเปร่าขึ้น มีพลังในการใช้ชีวิต
มีพลังที่เราจะอยู่กับโลก แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้
ไม่จมปลักไปกับความคิด
โลกของความคิด นี่มันก่อให้เกิดความทุกข์ ความเร่าร้อน
เมื่อเรากลับมาอยู่กับความร
มันจะหลุดจากพวกนี้
.
เบื้องต้นอาศัยฐานของสติปัฏ
และฐานที่เป็นฐานใหญ่ คือฐานของเวทนา
คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
ทีนี้เมื่อเราอยู่กับความรู
สติมันจะละเอียดขึ้น
มันก็จะเกิดความซาบซ่านทั่ว
#อาการซาบซ่านทั่วทั้งตัวนี
เราจะรู้สึกเลยว่า เราทรงพลังมาก
.
ถ้าเราเดินจิตในความรู้สึกต
มันเป็นภาคพลังงานของร่างกา
มนุษย์เรามีพลังงานอยู่แล้ว
เพียงแต่เราไม่ได้อยู่กับมั
#เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่กับ
#อยู่กับความรู้สึกทั้งตัวเ
#พลังแห่งชีวิตตรงนี้ #มันจะถูกปลุกขึ้นมา
เหมือนพวกฝรั่ง ที่เขาไปฝึกของอินเดีย โยคี
พลังกุณฑาลิณีบ้าง การเปิดจักระทั้งเจ็ดบ้าง
พลังจักรวาล พลังธรรมชาติบ้าง
ที่จริงพวกนี้มันเป็นแค่ส่ว
เวทนานุปัสสานาสติปัฏฐาน
มันเป็นส่วนหนึ่งของความรู้
.
ถ้าเราดำรงสติมั่น จักระทั้งเจ็ดมันจะเปิดขึ้น
แล้วสิ่งที่ปรากฏก็คือ ปิติความซาบซ่านทั่วทั้งตัว
ที่เขาฝึกกัน ไม่ต้องไปไล่เปิดทีละฐาน ดำรงสติมั่นเป็น
#สติตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ
#จะเกิดความซาบซ่านทั่วทั้ง
#นั่นแหละจักระมันจะเปิดหมด
พลังกุณฑลิณีก็จะเกิดขึ้น
เราจะเป็นมนุษย์ที่ทรงพลังม
#เราเอาพลังตรงนี้ไปใช้กับโ
#ทำให้จิตเรามีความหนักแน่น
มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงขึ้น
ปล่อยวางเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากขึ้น
มีขีดความสามารถในการแก้ไขป
พัฒนาศักยภาพมนุษย์ของเราขึ
.
ที่เขาบอกว่ามนุษย์เราสามาร
ได้เพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์เ
อีกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์มันปล
โดยการเจริญสติปัฏฐาน
พัฒนาขึ้นมา ศักยภาพของเราจะถูกปลุก
แล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ทำให้เราอยู่กับโลกได้อย่าง
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin
Admin_support
9 Jun 2019 18:16 #10
แยกให้ออกระหว่าง #อาการดู กับ #อาการรู้
ถ้ารู้เป็นเมื่อไรนั่นแหละก
ที่เรียกว่าสามารถพ้นจากทุก
.
#อาการดูมันเป็นอาการของจิต
มันเหมือนไฟฉายนะ
#ฉายไปตรงไหนมันก็ส่องแค่ตร
#มันก็เห็นแค่ตรงนั้น #มันก็รู้แค่ตรงนั้น
นั่นคืออาการของจิต
.
#แต่อาการของสติ ที่เป็นสภาวะรู้
#มันเหมือนแสงเทียน มันเหมือนแสงไฟ
#มันจะสว่างออกรอบตัว
#ทุกสิ่งที่อยู่ในข่ายของมั
สภาวะของความรู้สึกตัวทั่วพ
.
จิตมันรู้ได้ทีละอารมณ์ใช่ไ
นั่นมันคือสภาวะของจิต เกิดดับ รู้ได้ทีละอารมณ์
#แต่สภาวะของสติไม่ใช่ #สภาวะของสติมันเหมือนเรด้า
#ทุกอย่างที่อยู่ในข่ายของส
เกิดพร้อมกัน ก็รู้พร้อมกัน
สติที่พูดถึงนี่คือ สติตัวจริงนะ
ภาษาพระท่านเรียกว่า ญาณทัศนะ ยถาภูตญาณทัสสนะ
การรู้เห็นตามความเป็นจริง
วิมุตติญาณทัสสนะ การรู้เห็นความหลุดพ้น
ญาณทัสสนะวิสุทธิ สภาวะนิโรธ ที่เป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ
มันก็คือสภาวะรู้อันนี้เท่า
แล้วแต่ภาษาจะพาไป คำว่าญาณทัศนะก็คือตัวนี้
.
#ทุกคนมีส่วนหนึ่งของสภาวะร
#การปฏิบัติก็คือเพื่อปลุกส
เพราะฉะนั้นลักษณะของการปฏิ
มันจะเป็นแค่การตื่นรู้เท่า
พอตื่นรู้แล้ว ยืน เดิน นั่ง นอน
ก็รู้ตื่นไปเรื่อย ๆ รู้ ตื่น เบิกบานไป
..........................
ธรรมบรรยาย โดยพระมหาวรพรต กิตติวโร (ป.ธ.๖)
Admin_support
Admin